Patient Education

โรคมะเร็งกระดูก Osteosarcoma

Home » โรคมะเร็งกระดูก Osteosarcoma

โรคมะเร็งกระดูกชนิด ออสทีโอซาร์โคมา
(Osteosarcoma)

บทนำ

มะเร็งกระดูกออสทีโอซาร์โคมา เป็นมะเร็งกระดูกที่พบได้บ่อยใน 2 ช่วงอายุคือ ช่วงอายุน้อยกว่า 20 ปี และช่วงอายุ มากกว่า 65 ปี อย่างไรก็ตามสามารถพบได้ทุกช่วงอายุ อุบัติการณ์โดยเฉลี่ยทุกช่วงอายุประมาณ 3.4 คนต่อประชากรหนึ่งล้านคนโดยเฉลี่ย อัตราส่วนชายต่อหญิงประมาณ 1.4:1 คน ซึ่งถือว่าเป็นอุบัติการณ์น้อยเมื่อเทียบกับมะเร็ง carcinoma ชนิดอื่นๆ

ประเภทของมะเร็งกระดูกออสทีโอซาร์โคมา

  1. มะเร็งกระดูกออสทีโอซาร์โคมาชนิดปฐมภูมิ (Primary osteosarcoma)
    • พบได้บ่อยที่สุด มักจะเกิดในช่วงอายุน้อยกว่า 20-25 ปี
  2. มะเร็งกระดูกออสทีโอซาร์โคมาชนิดทุติยภูมิ (Secondary osteosarcoma)
    • พบได้ในช่วงอายุที่มากกว่า 50-65 ปี
    • มักมีสาเหตุนำมาก่อน ได้แก่ Paget disease, ได้รับการฉายรังสีบริเวณนั้นมาก่อน, โรคเนื้องอกกระดูกชนิดไฟบรัส (Fibrous dysplasia), มีการขาดเลือดหรือติดเชื้อที่กระดูกมาก่อน (Bone infarcts or Osteomyelitis)


อาการและอาการแสดง

ออสทีโอซาร์โคมาเป็นโรคมะเร็งกระดูก สามารถเกิดได้ในหลายตำแหน่งของร่างกาย เช่น กระดูกข้อเข่า (Distal femur and Proximal tibia) กระดูกข้อไหล่ (Proximal humerus) และอาจเกิดบริเวณอื่นตามแกนกลางลำตัวของร่างกาย เช่น กระดูกอุ้งเชิงกราน เป็นต้น โดยอาการแสดงจะแตกต่างกันขึ้นกับตำแหน่งของโรค ผู้ป่วยจะให้ประวัติว่ามีอาการปวดหรือ คลำก้อนได้ประมาณ 2-4 เดือนก่อนมาพบแพทย์ เป็นต้น

แนวทางการรักษา

1.การส่งตรวจเพื่อวินิจฉัย

   1.1 ส่งตรวจภาพทางรังสี (Film x-ray)

  •  ข้อมูลที่ได้ คือ ช่วยแยกเนื้องอกที่กำเนิดจากเนื้อเยื่ออ่อน (Connective tissue) หรือจากกระดูกเอง จากนั้นสามารถแยกเนื้องอกกระดูกชนิดไม่รุนแรง (Non-aggressive) ชนิดรุนแรง (Aggressive) และมะเร็งกระดูกได้ โดยมะเร็งกระดูกชนิดออสทีโอซาร์โคมามีลักษณะเฉพาะจากภาพทางรังสี ประกอบกับช่วงอายุจะทำให้วินิจฉัยได้แม่นยำมากขึ้น

   1.2 ส่งตรวจ MRI (Magnetic Resonance Imaging)

  • ข้อมูลที่ได้ คือ การลุกลามเบียด (Local invasion) ของมะเร็งต่อกระดูกและเนื้อเยื่อรอบข้าง (located compartment) ซึ่งมีส่วนสำคัญในการวางแผนนำชิ้นเนื้อมาตรวจ ดูการลุกลามต่อเส้นเลือด เส้นประสาทที่สำคัญ ซึ่งจะมีผลต่อการวางแผนในการผ่าตัดเพื่อรักษารยางค์ (limb sparing surgery) หรือการตัดรยางค์ (amputation)

   1.3 ส่งตรวจการแพร่กระจาย (Systemic staging)

  • สแกนปอดด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT chest with contrast) เพื่อตรวจหาการแพร่กระจายของมะเร็งว่ากระจายไปที่ปอด
  • สแกนกระดูก (Bone scan) เพื่อตรวจหาการแพร่กระจากของมะเร็งว่ากระจายไปที่กระดูกส่วนอื่น

2.การรักษา

หลังจากได้รับการตรวจดังกล่าวข้างต้นอย่างสมบูรณ์แล้ว ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาด้วยการให้ยาเคมีบำบัด ทั้งหมด 3 ครั้งก่อนจะได้รับการผ่าตัด (Neoadjuvant chemotherapy) และได้รับการส่งตรวจ ประเมินการแพร่กระจายอีกครั้งก่อนการตัดสินใจผ่าตัด (MRI and re-staging) โดยการตัดสินใจเกี่ยวกับการผ่าตัด จะประเมินสภาพความพร้อมของผู้ป่วย สภาวะแทรกซ้อน และการตรวจ MRI หลังจากให้ยาเคมีบำบัด ซึ่งการผ่าตัดจะเป็นการผ่าเพื่อรักษารยางค์ (Limb sparing surgery) หลังจากการตัดกระดูกที่เป็นมะเร็งออสทีโอซาร์โคมาออกจากผู้ป่วยแล้ว ศัลยแพทย์เฉพาะทางต้องหาสิ่งที่จะใส่เข้าไปทดแทน (Reconstruction) โดยสิ่งที่ใส่เข้าไปมีหลายประเภท ได้แก่ กระดูกของตัวผู้ป่วยที่ถูกตัดออกมาแล้วนำไปผ่านกระบวนการทำลายมะเร็งแล้ว (Pasteurized autograft) หรือกระดูกจากผู้บริจาค (Allograft) หรือวัสดุสังเคราะห์ที่ทำจากเหล็ก (Endoprosthesis) เป็นต้น หรือการตัดรยางค์ (Amputation) หลังจากการผ่าตัด ผู้ป่วยก็จะได้รับยาเคมีบำบัดหลังผ่าตัดอีก 3 ครั้ง (Adjuvant chemotherapy)

การติดตามการรักษา

การติดตามอาการหลังการผ่าตัด

การตรวจร่างกายและการส่งตรวจเพิ่มเติม

3 ปีแรกหลังการผ่าตัด

1. ภาพถ่ายรังสี (Film x-ray) ทุก 3 เดือน

2. สแกนปอดด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT chest with contrast) ทุก 3 เดือน

3. สแกนกระดูก (Bone scan) ทุก 1 ปี

3-5 ปีหลังการผ่าตัด

1. ภาพถ่ายรังสี (Film x-ray) ทุก 6 เดือน

2. สแกนปอดด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT chest with contrast) ทุก 6 เดือน

3. สแกนกระดูก (Bone scan) ทุก 1 ปี

มากกว่า 5 ปีหลังการผ่าตัด

1. ภาพถ่ายรังสี (Film x-ray) ทุก 1 ปี

2. สแกนปอดด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT chest with contrast) ทุก 1 ปี

3. สแกนกระดูก (Bone scan) ทุก 1 ปี

การตรวจร่างกายผู้ป่วยหลังการผ่าตัด แพทย์จะทำการหาการกลับมาเป็นใหม่ โดยคลำก้อนที่บริเวณผ่าตัด บริเวณส่วนอื่นๆของร่างกาย ตรวจสอบสภาพของกระดูกหรือข้อเทียมที่ทำการใส่เข้าไปทดแทนหลังจากการผ่าตัด โดยตรวจสอบสภาพความมั่นคง การทำงานและใช้ชีวิตประจำวัน เป็นต้น

การรักษาเมื่อมีการกลับมาเป็นซ้ำ (Local recurrence)

เมื่อมีการตรวจพบ หรือผู้ป่วยมีอาการที่สงสัยว่ามีการเกิดซ้ำ ได้แก่ คลำได้ก้อนบริเวณที่ผ่าตัด หรือจากวิธีใดๆก็ตาม ศัลยแพทย์จะรีบทำการยืนยันให้แน่ชัดว่า มีการกลับมาเป็นซ้ำ ด้วยวิธีการตรวจที่ละเอียดขึ้น โดยทั่วไปช่วงเวลาการกลับมาเป็นซ้ำมักจะเกิดในช่วง 2-3 ปีแรกหลังการผ่าตัด เมื่อทำการยืนยันได้แน่ชัด ศัลยแพทย์จะทำการส่งตรวจใหม่ทั้งหมด ได้แก่ การถ่ายภาพทางรังสี (Film x-ray) การทำ MRI บริเวณที่สงสัยว่าจะกลับมาเป็นซ้ำ และการส่งตรวจการแพร่กระจาย (Systemic staging) คือ สแกนปอดด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT chest with contrast) และ สแกนกระดูก (Bone scan) หลังจากนั้นจะวางแผนการรักษาใหม่

หลังจากการส่งตรวจเพิ่มเติม ในกรณีที่มีการกลับมาเป็นซ้ำ แต่ยังไม่มีการแพร่กระจาย หรือมีการแพร่กระจายแต่สามารถรักษาได้ (ศัลยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินจากนั้นจะปรึกษากับผู้ป่วยและครอบครัว) ผู้ป่วยจะได้รับยาเคมีบำบัด (Adjuvant chemotherapy) และวางแผนการผ่าตัดหลังจากการให้ยาเคมีบำบัดแล้ว ซึ่งการผ่าตัดจะเป็นการผ่าเพื่อรักษารยางค์ (limb sparing surgery) หรือการตัดรยางค์ (amputation) ก็ขึ้นกับขอบเขตการลุกลาม นอกจากนี้ในกรณีที่มะเร็งออสทีโอซาร์โคมาแพร่กระจายไปที่ปอด ศัลยแพทย์กระดูกจะปรึกษาศัลยแพทย์ทรวงอกให้เข้าร่วมการรักษา

ในกรณีที่มีการกลับมาเป็นซ้ำ และมีการกระจายของมะเร็งออสทีโอซาร์โคมาที่ไม่สามารถควบคุมการลุกลามได้ การรักษาจะเน้นแบบประคับประคอง (palliative treatment) โดยจะเน้นไปที่รักษาเพื่อให้ผู้ป่วยไม่มีอาการปวด และมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด

จัดทำโดย สถาบันออร์โธปิดิกส์
รพ.เลิดสิน กรมการแพทย์